วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

Supply Chain Management


ในสภาวะที่มีการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงเพื่อความอยู่รอด แต่ละบริษัทต่างก็เลือกสรรกลยุทธ์ที่คิดว่าตนจะชนะในตลาดการแข่งขันออกมาสู้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังหนีไม่พ้นกลยุทธ์ด้านการพัฒนาสินค้า และการให้บริการให้ดีกว่าคู่แข่ง หรือไม่ก็ใช้กลยุทธ์ด้านราคาโดยการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัทลงเพื่อแข่งขันในกลยุทธ์ดังกล่าว แต่เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารที่สามารถสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้กลยุทธ์ของแต่ละบริษัทในยุคปัจจุบันจึงมีรูปแบบไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ยังมีอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ผู้บริหารของหลายองค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือยังไม่เข้าใจว่ายังมีอีกกลยุทธ์หนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลถึงอนาคตของธุรกิจหรือความอยู่รอดของบริษัทเลยก็เป็นได้กลยุทธ์ที่ว่าก็คือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับความนิยมในต่างประเทศมานานพอสมควร และเป็นแนวคิดที่ทำให้หลายบริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขันได้ อย่างเช่น บริษัทซุปเปอร์สโตร์ วอลมาร์ท ในสหรัฐอเมริกา ที่เอาชนะคู่แข่งรายใหญ่ได้ขาดลอย ก็ด้วยเหตุผลของระบบห่วงโซ่อุปทาน ที่มีประสิทธิภาพของบริษัท การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) จะเป็นลำดับของกระบวนการทั้งหมดที่มีผลต่อการสร้างความพอใจให้กับลูกค้า ดังนั้นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) จึงครอบคลุมไปถึงกระบวนการจัดซื้อ (Procurement) การผลิต (Manufacturing) การจัดจำหน่าย (Distribution) การกำจัดของเสีย (Waste Disposal) การขนส่ง (Transportation) การจัดเก็บ (Storage) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ซึ่งกระบวนการที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดนี้ จะต้องถูกจัดระบบให้ประสานกันอย่างคล่องตัว กระบวนการ Supply chain นี้ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรเท่านั้น แต่จะเชื่อมต่อกับองค์กรอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ผู้จัดหาวัตถุดิบ/สินค้า (Suppliers) บริษัทผู้ผลิต (Manufacturers) และบริษัทผู้จัดจำหน่าย (Distributors) เป็นต้น ปัจจุบันนี้ แนวคิดเรื่องห่วงโซ่อุปทานได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจหลักของบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก เพราะบริษัทเหล่านั้นเชื่อกันว่าห่วงโซ่อุปทานจะเป็นที่มาของความสำเร็จของบริษัทในศตวรรษใหม่นี้ และเป็นที่เชื่อว่าระบบห่วงโซ่อุปทานที่ดีจะเป็นส่วนสำคัญที่เราสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือคู่แข่งได้ โดยปกติบริษัททั่ว ๆ ไปมักคิดว่า การส่งสินค้า คือ หน่วยงานสนับสนุนให้พนักงานระดับล่างเป็นคนดูแลก็เพียงพอ แต่ในโลกของธุรกิจที่มีแข่งขันกันอย่างรุนแรงในปัจจุบัน การจัดส่งสินค้าถือเป็นส่วนประกอบหลักของธุรกิจ และอาจเป็นส่วนที่ทำให้ธุรกิจโดดเด่นเหนือคู่แข่งได้ หรืออีกนัยหนึ่งระบบการจัดส่งสินค้าที่ดีจะกลายเป็นขีดความสามารถหลักของบริษัท (Core Competence) ซึ่งอาจจะมีความสำคัญและมีประโยชน์มากกว่าการมีตราสินค้าที่โดดเด่น เพราะระบบ supply chain ที่ดีจะมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการบริหารสมัยใหม่นั้นได้มองเรื่องของเวลาในอีกลักษณะหนึ่งคือ เวลาจะเป็นตัววัดการทำงานโดยรวมของทั้งกระบวนการ Supply chain และการหาทางที่จะใช้เวลาให้เหมาะสมที่สุดนี้ เรียกว่าวิธี “การย่นเวลา” (Time compression) ซึ่งจะเกี่ยวพันกับความสามารถในการแข่งขันขององค์กรด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น